21/11/63

มาสงขลาห้ามพลาดเที่ยวไหนนะ

สะพานติณสูลานนท์

เป็นสะพานที่ชาวสงขลานิยมเรียกกันติดปากว่า "สะพานป๋าเปรม" บ้าง "สะพานติณ" บ้าง หรือ "สะพานเปรม" บ้าง และถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของจังหวัด เพราะเป็นสะพานคอนกรีตที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยเชื่อมเกาะยอ 2 ด้าน ระหว่างฝั่งบ้านน้ำกระจาย อำเภอเมืองสงขลา และบ้านเขาเขียว อำเภอสิงหนคร ความยาวของสะพาน 2 ช่วงแรก 940 เมตร และ 1,700 เมตร ตามลำดับ รวมเป็น 2,640 เมตร

ก่อสร้างขึ้นในสมัย ฯ พณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการคมนาคมทางรถยนต์ โดยไม่ต้องรอข้ามแพขนานยนต์ ซึ่งมีไม่เพียงพอกับปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2524 รัฐบาลจึงมีนโยบายพัฒนาจังหวัดสงขลา และอำเภอหาดใหญ่ให้เป็นเมืองหลัก โดยมีกรมทางหลวง เป็นเจ้าของโครงการและบริษัทจากไต้หวันเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง เปิดให้ใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2527

 

ที่อยู่ : อยู่ในอำเภอเมืองสงขลา และอำเภอสิงหนคร สะพานแห่งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงหมายเลข 4146 ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างทางหลวงหมายเลข 4083 (ระโนด-เขาแดง) กับทางหลวงหมายเลข 407 (สงขลา-หาดใหญ่)

เครดิต : https://1th.me/G3LJn

 

วัดพะโคะ


วัดแห่งนี้คือที่จำพรรษาของสมเด็จพะโคะ หรือหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเล พระเกจิอาจารย์ที่ประชาชนให้ความนับถือมากมาย ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชื่อวัดราชประดิษฐาน แต่ชาวบ้านก็ยังคงนิยมเรียกกันติดปากว่าวัดพะโคะอยู่อย่างนั้น 

ทั้งนี้ ภายในวัดมีสิ่งที่น่าชม ได้แก่ พระสุวรรณมาลิก เจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่นำมาจากลังกา พระพุทธไสยาสน์ หรือพระโคตมะ พระพุทธรูปปั้นสีทองปางปรินิพพานยาว 18 เมตร สูง 2.5 เมตร ฝีมือช่างปั้นท้องถิ่น รอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่ภายในมณฑปยอดเขา ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นรอยพระบาทของสมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ หรือหลวงพ่อทวดนั่นเอง 

รูปจำลองและอนุสาวรีย์สมเด็จพระราชมุนีสามีราม ซึ่งประดิษฐานอยู่ในมณฑปบนยอดเขา โดยวางคู่กับรอยพระพุทธบาทเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาสักการะโดยสะดวก พิพิธภัณฑ์วัดพะโคะซึ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อปี พ.ศ. 2536 จัดแสดงของต่าง ๆ มากมาย เช่น พระพุทธรูป เครื่องปั้นดินเผาเครื่องทองเหลือง มีดพร้า ตะบันหมากทองเหลือง ธนบัตรและเหรียญสมัยก่อน เครื่องถ้วยกระเบื้อง นอกจากนี้ยังมีวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อทวด เช่น อัฐบริขาร จีวร ไม้เท้าของหลวงปู่ทวด ลูกแก้วบารมี เป็นต้น 

ปาฏิหาริย์แห่งหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเล มีเรื่องเล่ากันว่า วันหนึ่งมีโจรสลัดแล่นเรือเลียบมาตามฝั่ง เห็นสมเด็จพะโคะ หรือหลวงปู่ทวดเดินอยู่ ซึ่งท่านมีลักษณะแปลกกว่าคนทั้งหลาย จึงใคร่จะลองดี โจรสลัดได้จอดเรือและจับสมเด็จพะโคะไป เมื่อเรือแล่นมาได้สักครู่ เกิดเหตุเรือแล่นต่อไปไม่ได้ ต้องจอดอยู่หลายวันจนในที่สุดน้ำจืดหมดลง โจรสลัดเดือดร้อนกันไปทั่ว สมเด็จพะโคะสงสารจึงเอาเท้าซ้ายแช่ลงไปในน้ำทะเล เกิดเป็นประกายโชติช่วง และน้ำทะเลได้กลายเป็นน้ำจืด โจรสลัดเกิดความเลื่อมใสศรัทธากราบไหว้ขอขมา และนำสมเด็จพะโคะขึ้นฝั่ง ตั้งแต่นั้นมาเมื่อเรื่องราวแพร่สะพัด ประชาชนจึงพากันไปกราบไหว้บูชากันเป็นจำนวนมาก 

 

ที่อยู่ : ตั้งอยู่บริเวณเขาพัทธสิงค์ หมู่ที่ 6 ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ อยู่ห่างจากสงขลา 48 กิโลเมตร

เครดิต : https://1th.me/LJ3xb

 

ย่านเมืองเก่าสงขลา

ย่านเก่าที่จะพาเราย้อนรอยไปสู่ความรุ่งเรืองในอดีตของสงขลาที่เปี่ยมด้วยบรรยากาศของวันวานสุดคลาสสิก และน่าค้นหา โดยครอบคลุมถนนสายสำคัญ 3 สาย ได้แก่ ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม ที่เคยเฟื่องฟูมากในยุคหนึ่ง และถนนเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของการนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปสู่อดีตที่น่าหลงใหล ณ มุมหนึ่งของสงขลา เดินตามรอยอดีต 

กล่าวกันว่า เมื่ออดีตราว 200 ปีก่อน ตัวเมืองสงขลาตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบเรียกว่า "เมืองสงขลาฝั่งแหลมสน" จนกระทั่ง พ.ศ. 2385 จึงขยายมาทางฝั่งทิศตะวันออกบริเวณตำบลบ่อยาง เรียกกันว่า "เมืองสงขลาฝั่งบ่อยาง" ซึ่งเริ่มแรกมีถนนสองสายคือถนนนครนอก อันเป็นถนนเส้นนอกที่ติดกับทะเลสาบ และถนนนครในเป็นถนนเส้นในเมือง ต่อมามีการตัดถนนสายที่สามเรียกว่าถนนเก้าห้อง หรือย่านเก้าห้อง เพื่องานสมโภชเสาหลักเมืองต่อมาก็เรียกกันว่าถนนนางงามนั่นเอง 

การเดินชมย่านเก่า หากค่อย ๆ ลัดเลาะไปตามถนนทั้ง 3 สายนี้ คุณจะพบความคลาสสิกจากห้องแถวไม้แบบจีน ตึกเก่าสไตล์ชิโนโปรตุกีส ศาลเจ้าพ่อกวนอู โรงแรมนางงาม อันเป็นโรงแรมไม้เก่าแก่ประดับลายฉลุไม้วิจิตรบรรจง รวมทั้งยังมีตึกแถวแบบจีนโบราณของชาวจีนฮกเกี้ยนปะปนอยู่ด้วยกันทั้งสองฟากถนน อาคารหลายหลังมีการปรับปรุงทาสีใหม่แต่ก็ยังคงมีเอกลักษณ์น่าสนใจดุจเดิม ชิมของอร่อยย่านเก่า

อีกกิจกรรมหนึ่งที่มาเติมเต็มอารมณ์ชมย่านเก่าเมืองสงขลาได้อิ่มเอมขึ้น ก็คือการได้อิ่มท้องจากขนมอร่อยมากมาย ทั้งไทย จีน ฝรั่ง ที่มีให้เลือกชมและชิมอย่างเอร็ดอร่อย รวมทั้งของฝากพื้นเมืองให้เลือกซื้อกันอีกด้วย โดยเฉพาะถนนนางงาม หรือถนนเก้าห้องนั้น ละลานตาไปด้วยอาหารคาวหวานท้องถิ่นอันเลื่องชื่อ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของถนนสายนี้ไปเสียแล้ว ซึ่งมีทั้งร้านขนมไทย ร้านไอศกรีม ร้านกาแฟโบราณ ร้านซาลาเปา และต้องไม่พลาดโจ๊กเกาะลอย ข้าวสตูร้านเกียดฟั่ง (โกยาว) สตูแบบจีนที่กินคู่กับซาลาเปาร้อน ๆ หรือจะลองก๋วยเตี๋ยวหางหมู ก๋วยเตี๋ยวเป็ด และไส้กรอกสูตรเวียดนาม รวมทั้งขนมสำปันนี ขี้มอด ทองเอก ข้าวฟ่างกวน ขนมเทียนสด ซึ่งเป็นขนมโบราณที่หากินยากในสมัยนี้ แต่คุณจะพบความอร่อยเหล่านั้นบนถนนสายนี้ 


 

ที่อยู่ : อำเภอเมืองฯ จังหวัดสงขลา

เครดิต :  https://1th.me/VWdyE

 

วัดมัชฌิมาวาสวรวิหาร

ที่นี่คือวัดใหญ่และสำคัญที่สุดในจังหวัดสงขลาซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึง 400 ปี โดยสร้างขึ้นในตอนปลายอยุธยา และเดิมเรียกกันว่าวัดยายศรีจันทร์ ที่มีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ยายศรีจันทร์ คหบดีผู้มั่งคั่งในเมืองสงขลาสมัยอยุธยาตอนปลายได้อุทิศเงินสร้างขึ้น ครั้นต่อมามีผู้สร้างวัดเลียบ ทางทิศเหนือ และวัดโพธิ์ ทางทิศใต้ ชาวสงขลาจึงเรียกวัดยายศรีจันทร์ว่า "วัดกลาง" และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดมัชฌิมาวาส" โดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส คราวเสด็จเมืองสงขลาเมื่อ พ.ศ. 2431 ในที่สุด 

 

 

วัดนี้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่คล้ายโบสถ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่ขนาดเล็กกว่า สร้างขึ้นโดยฝีมือช่างหลวงในกรมช่างสิบหมู่ ร่วมกับช่างประจำเมืองสงขลา ส่วนประดับของเครื่องบนหรือหลังคา มีช่อฟ้า แต่ไม่มีนาคสะดุ้ง หน้าบันด้านหน้าเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณสามเศียร ด้านหลังเป็นรูปพระพรหมทรงหงส์ รอบโบสถ์มีเสารองรับชายคาโดยรอบ ระหว่างช่องเสาด้านนอกเป็นรูปจำหลักบนหินเรื่องสามก๊ก ประตูหน้าต่างมีซุ้มมงกุฎประดับอยู่ด้านนอก น่าชม พระอุโบสถ สร้างสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นศิลปะประยุกต์ไทย-จีน ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ซึ่งเขียนด้วยสีฝุ่น โดยเป็นภาพเกี่ยวกับเทพชุมนุม พุทธประวัติ ทศชาติชาดก และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยและจีนในภาคใต้ เช่น ภาพท่าเรือสงขลาที่หัวเขาแดง ที่มีการค้าขายกันคึกคัก พิพิธภัณฑ์ "ภัทรศิลป" อันเป็นที่เก็บพระพุทธรูป วัตถุโบราณ ซึ่งรวบรวมมาจากเมืองสงขลา สทิงพระ ระโนด ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ควรค่าแก่การศึกษา พระประธาน เป็นพระพุทธรูปหินอ่อน ปางสมาธิราบหน้าตักกว้าง 55 เซนติเมตร มีพุทธลักษณะแบบไทยผสมจีน กล่าวกันว่าช่างพื้นบ้านเป็นคนปั้นหุ่น แล้วส่งไปแกะสลักที่ประเทศจีน


ที่อยู่ : อยู่ที่ถนนไทรบุรี หมู่ 11 ตำบลบ่ออยาง อำเภอเมืองฯ จังหวัดสงขลา

เครดิต : https://1th.me/9vE63 

 

อุโมงค์ประวัติศาสตร์เขาน้ำค้าง

อุโมงค์ประวัติศาสตร์เขาน้ำค้าง หรือ อุโมงค์ปิยมิตร อยู่บริเวณเขาน้ำค้าง หมู่ที่ 1 ตำบลคลองกวาง ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 4 กิโลเมตร เป็นอุโมงค์ดินเหนียวขนาดใหญ่และยาวที่สุดในประเทศไทย ความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร

 สร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2515 ขุดด้วยกำลังคน ใช้เวลา 2 ปี จึงแล้วเสร็จ เพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในการต่อสู้กับรัฐบาลไทยในขณะนั้น มีช่องทางเข้า-ออก 16 ช่องทาง มีความลึกถึง 3 ชั้น และบันไดเชื่อมระหว่างชั้น สามารถจุคนได้ราว 200 คน ภายในอุโมงค์แบ่งออกเป็นห้อง ประกอบด้วยห้องประชุม ห้องธุรการ ห้องวิทยุ ห้องพยาบาล ห้องครัว ห้องผู้นำ ห้องวิวาห์ สนามซ้อมยิงปืน สนามหัดขี่จักรยานยนต์ และห้องสุขา จนกระทั่ง พ.ศ. 2530 กลุ่มคอมมิวนิสต์ได้ประกาศยุติการสู้รบ และเข้าเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย



อุโมงค์แห่งนี้จึงได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 07.00-17.00 น. 

ค่าเข้าชม ชาวไทย 40 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท 

สอบถามข้อมูล โทร. 0 7453 1840-1

 

ที่อยู่ : นาทวี, สงขลา

เครดิต : https://1th.me/L4cxD 

 

แสดงความคิดเห็น

Whatsapp Button works on Mobile Device only