วัดท่าตอน
วัดท่าตอนเป็นวัดประจำอำเภอแม่อายที่มีวิวทิวทัศน์งดงามเพราะตั้งอยู่บนไหล่เขา
ที่สามารถมองเห็นวิวอำเภอแม่อาย และทิวเขาสลับซับซ้อนเป็นฉากหลังที่งดงาม
ภายในวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุท่าตอน ซึ่งไม่ทราบที่มาแน่ชัด
เพียงแต่พออนุมานได้ว่าเมื่อคราวที่ครูบาศรีวิชัยได้ขึ้นมาบูรณะพระธาตุสบฝาง
ท่านได้มาถึงท่าตอนแล้วบอกชาวบ้านให้ขึ้นไปหาพระธาตุบนเขา
ชาวบ้านได้พากันถางป่าเพื่อค้นหา และพบเจอพระธาตุเก่าแก่อยู่ในพุ่มไม้
จึงนิมนต์ท่านบูรณะ แต่ท่านไม่รับ และบอกให้นิมนต์ครูบาแก้วกาวิชัยมาบูรณะ
แทนเพราะเป็นของคู่บารมีท่าน
ซึ่งชาวบ้านก็ได้นิมนต์ครูบาแก้วมาบูรณะและสร้างวัดขึ้น
โดยสิ่งที่น่าสนใจของวัดท่าตอนแห่งนี้
อยู่ภายในศาลาการเปรียญที่มีพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์
ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนและศิลปะสมัยพ่อขุนเม็งรายซึ่งอัญเชิญมาจากวัดพระธาตุสบฝาง
โดยมีพระพุทธรูปยืน 3 องค์ ที่ฐานมีอักษรโบราณจารึกให้ค้นคว้า
และพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย 5 องค์ มีพระนาคปรก
เป็นพระก่อด้วยอิฐปูน หน้าตักกว้างกว่า 7 เมตร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2530
ใต้ฐานศาลาการเปรียญยังเป็นห้องโถงอันเป็นที่ปฏิบัติกรรมฐานภาวนา
มีพระพุทธรูปอิ่มตลอดกาล
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรซึ่งเป็นพระประจำวันเกิดของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์
(วัดปากน้ำ) โดย เป็นพระหล่อสัมฤทธิ์ สูง 9 เมตร
ประทับยืนเด่นสง่าให้ผู้เลื่อมใสได้กราบไหว้สักการะ
ที่ตั้ง :
ตั้งอยู่ที่บ้านท่าตอน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
เครดิต : https://1th.me/3BUrY
อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย
สักการะอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย
ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักบุญแห่งล้านนาไทย
และปูชนียบุคคลที่ชาวเชียงใหม่เคารพศรัทธา
มาจนถึงปัจจุบัน
โดยเรื่องราวของครูบาศรีวิชัยนั้นมีความผูกพันกับประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่เป็นอย่างมากเนื่องจากท่านเป็นผู้ที่มีบทบาทในการฟื้นฟูวัดวาอาราม
โบราณสถานต่าง ๆ ในแถบภาคเหนือ
ที่ทรุดโทรมให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
และที่สำคัญครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มชักชวนให้ประชาชนชาวเหนือ
ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างถนนจากเชิงดอยขึ้นไปสู่วัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ
หรือเรียกได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกเส้นทาง ขึ้นดอยสุเทพ
ที่ทำให้เรามีโอกาสได้ขึ้นไปชื่นชมความงามของธรรมชาติและกลิ่นอายแห่งอารยธรรมล้านนาในทุกวันนี้
นอกจากนี้หลายคนยังเชื่อกันว่า
เพียงได้มาไหว้ครูบาศรีวิชัยก็เสมือนได้กราบสักการะพระบรมธาตุเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน
ยังมีการทำบุญตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ในยามเช้าที่บริเวณลานครูบาศรีวิชัย
โดยนักท่องเที่ยว ควรแต่งกายสุภาพ
และหากไม่สะดวกที่จะเตรียมของใส่บาตรมาเอง
ก็มีพ่อค้าแม่ค้าจำหน่ายของใส่บาตร ต่อผู้มีจิตศรัทธาอยู่ในบริเวณนั้น
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ที่วัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
เครดิต : https://1th.me/fKImf
วัดอุโมงค์
วัดอุโมงค์แห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยพญามังรายราวปี พ.ศ. 1839
เพื่อให้ฝ่ายอรัญวาสีจำพรรษา ต่อมาพญากือนา
ทรงสร้างอุโมงค์ขึ้นเพื่อให้พระมหาเถระจันทร์ใช้เป็นที่วิปัสสนากรรมฐาน
อุโมงค์นี้มีลักษณะเป็นกำแพงภายใน เป็นทางเดินหลายช่องทะลุกันได้
ภายในอุโมงค์นั้นมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง สันนิษฐานว่าวาดขึ้นในระหว่าง พ.ศ.
1900-2000 เดิมคงเป็นภาพจิตรกรรมเต็มบริเวณของทุกห้อง
ส่วนใหญ่เป็นภาพดอกบัว ดอกโบตั๋น และ นกต่าง ๆ เช่น นกยูง นกกระสา นกแก้ว
และนกเป็ดน้ำ แต่ปัจจุบันค่อนข้างรางเลือนไปมากตามกาลเวลา
และกำลังอยู่ในระหว่างการ บูรณะขึ้นใหม่
ส่วนด้านบนอุโมงค์นั้นเป็นเจดีย์ล้านนาเก่าแก่
ที่นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าสร้างประมาณ ต้นพุทธศตวรรษที่ 20
มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆัง มีชั้นทรงกลมประมาณ 3
ชั้นเหมือนกลีบบัวซ้อนกันอยู่ ด้านบนมีปลียอด
ส่วนด้านหน้าอุโมงค์มีเศียรพระพุทธรูปหินสลัก สกุลช่างพะเยา พ.ศ. 1950-2100
นอกจากนี้บริเวณวัดอุโมงค์ยังเป็นสวนพุทธธรรมที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพันธุ์
เหมาะกับการนั่งวิปัสสนา
โดยด้านหลังเป็นสวนป่าและสวนสัตว์ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน
รวมทั้งยังเป็นสถานที่ดูนกที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ ดูรายละเอียดเพิ่มได้ที่
www.watumong.org
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ที่ถนนสุเทพ อำเภอเมือง หากไปจากตลาดต้นพยอม วิ่งผ่านสี่แยกคลองชลประทานด้านหลัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประมาณ 500 เมตร เข้าซอยทางด้านซ้ายมือไปประมาณ 2 กิโลเมตร
เครดิต : https://1th.me/N8DOe
วัดอู่ทรายคำ
วัดอู่ทรายคำแห่งนี้สร้างโดยอุบาสิกาที่อพยพหนีภัยสงครามมาจากเมืองเชียงแสน
และได้มาตั้งบ้านเรือนในบริเวณดังกล่าว พร้อมกับร่วมใจกันสร้างวัดขึ้น
โดยแต่เดิมนั้นมีชื่อเรียกว่าวัดอุปคำ และเรียกขานกันต่อมาเป็นวัดอู่สายคำ
จนเพี้ยนเป็นวัดอู่ทรายคำในที่สุด
สถานที่น่าสนใจภายในวัด - พระพุทธสิหิงค์หยก หรือเรียกสั้น
ๆ ว่า "พระสิงห์หยก" วัดอู่ทรายคำ
เป็นพระพุทธรูปที่มีความสำคัญมากที่สุดของวัด พระปางมารวิชัย
ศิลปะล้านนาแบบสิงห์ 1 ขนาดหน้าตักกว้าง 29 นิ้ว สูง 41 นิ้ว น้ำหนัก 900
กิโลกรัม โดยทำขึ้นจากเนื้อหยกธรรมชาติแท้
เจดส์ได (Jadeite) ประเภทคอมเมสเชียลเจดส์ (CommercialJade)
นับว่าเป็นพระหยกธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ซึ่งความงดงามของหยกนั้นได้สะท้อนออกมาเป็นหลากหลายสีสันที่อยู่ในองค์พระ
เช่น สีเทาอมฟ้า สีม่วงที่ไหล่ซ้าย สีเขียวพระหัตถ์ซ้ายผ่านหน้าอก
ทะลุลงบัลลังก์ และมีสีขาวเป็นจุด ๆ ที่เข่าซ้าย ซึ่ง
ถือว่ามีสีลักษณะครบตามที่คนจีนเรียกว่า ฮก ลก ซิ่ว
นับว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง กล่าวกันว่า พระพุทธรูปองค์นี้
มีแหล่งกำเนิดอยู่ที่ผากั้น รัฐคะฉิ่น ตอนเหนือของพม่า
ถูกนำมาประมูลขายที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช แห่งวัดบวรนิเวศวิหารกรุงเทพฯ
ได้ประทานพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในผอบทองคำไว้ในพระเศียร
และทรงตั้งพระนามให้เพื่อเป็นมิ่งขวัญ
ของพุทธศาสนิกชนชาวเชียงใหม่และพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั่วโลก -
ธรรมมาสน์โบราณที่ยังใช้มาจนปัจจุบัน - ภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านหลังพระอุโบสถ
รวมทั้งหอไตรโบราณ ที่มีศิลปกรรมรูปทรงแบบล้านนาไทย
หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า "ประสาทหลังก๋าย" นับเป็นหอไตรที่งดงามยิ่ง
เปิดให้เข้าชมและสักการะพระสิงห์หยกทุกวัน เวลา 07.00-18.00 น.
สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 5323 2410
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ตำบลช้างม่อย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
เครดิต : https://1th.me/3O5ob
วัดป่าตึง
เป็นวัดเก่าคู่กับวัดเชียงแสน แม้จะเป็นวัดร้างก็ตาม
แต่ก็มีการค้นพบพระบรมสารีริกธาตุและของมีค่ามากมายหลายอย่าง อาทิเช่น
วัตถุโบราณ พระพุทธรูป เครื่องถ้วยชามสังคโลก
ซึ่งปัจจุบันเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยชามที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัด
นอกจากนี้ภายในศาลาการเปรียญยังเป็นที่ตั้งศพของเกจิอาจารย์ชื่อดัง
คือหลวงปู่หล้า ซึ่งสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย ให้ผู้ที่มีศรัทธาได้บูชา
ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้น
ท่านได้รับสมญานามจากศรัทธาญาติโยมว่าเป็นพระภิกษุที่มีญาณวิเศษ
ที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้ หลายคนจึงขนานนามท่านว่า "หลวงปู่หล้า
ตาทิพย์" ท่านเป็นพระเกจิอีกรูปหนึ่งที่มีการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
ตั้งตนอยู่ในหลักศีลธรรมอันงดงามมาโดยตลอด รู้จัก "หลวงปู่หล้า"
หลวงปู่หล้า หรือ พระครูจันทสมานคุณ นั้น
เกิดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5
ซึ่งอยู่ในช่วงผลัดเปลี่ยนเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
สมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 7 ( พ.ศ.
2426-2439) กับเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 8 (
พ.ศ. 2442-2452) โดยท่านเกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2441
ที่บ้านปง ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่ออายุได้ 8 ขวบ
โยมแม่ก็นำไปฝากกับครูบาปินตา เจ้าอาวาสวัดป่าตึง
ท่านจึงได้มีโอกาสเรียนหนังสือเป็นครั้งแรก
ซึ่งสมัยนั้นจะเรียนหนังสือพื้นเมือง จนอายุได้ 11 ขวบ
ก็ได้บวชเป็นสามเณรในช่วงเข้ารุกขมูล และเข้ากรรมอยู่ในป่า
การเข้ากรรมหรืออยู่กรรมนั้น เรียกว่าประเพณีเข้าโสสานกรรม
ซึ่งเป็นประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนา
ที่พระสงฆ์จะต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ซึ่งมักกระทำกันในบริเวณป่าช้าที่อยู่นอกวัด
พระสงฆ์และผู้ที่เข้าบำเพ็ญโสสานกรรมจะต้องถือปฏิบัติเคร่งครัด
เพื่อต้องการบรรเทากิเลสตัณหา เมื่ออายุได้ 18 ปี
จึงเดินทางไปจำพรรษาอยู่ในเมืองเชียงใหม่เพื่อเรียนนักธรรมที่วัดเชตุพน
เรียนได้ยังไม่ทันสำเร็จต้องกลับวัดป่าตึง
เพื่อปรนนิบัติครูบาปินตาที่ชราภาพ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2467
ครูบาปินตาก็มรณภาพด้วยวัย 74 ปี
และหลวงปู่หล้าได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าตึงต่อจากครูบาปินตาแทน เมื่อปี
พ.ศ. 2467 โดยท่านได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระครูจันทสมานคุณ
ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 63 ปี และได้มรณภาพลงเมื่อวันที่ 16 ก.พ.2536
ในขณะที่มีอายุได้ 97 ปี
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ในเขตตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง
จังหวัดเชียงใหม่
เครดิต : https://1th.me/RLGMV
แสดงความคิดเห็น