อนุสาวรีย์นายดอกนายทองแก้ว
อนุสาวรีย์นายดอกนายทองแก้ว เป็นอนุสรณ์สถานที่ชาววิเศษชัยชาญและชาวอ่างทองร่วมกันสร้าง
เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของวีรบุรุษแห่งบ้านโพธิ์ทะเล ชาววิเศษชัยชาญ
ปู่ดอกและปู่ทองแก้ว
ยอมสละชีวิตอย่างกล้าหาญเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยในการสู้รบกับพม่าที่ค่ายบางระจันก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกในปี
พ.ศ. 2309 โดยนายดอกและนายทองแก้ว เป็นบุคคลสำคัญในกลุ่มของ 11
วีรชนแห่งชาวบ้านบางระจัน ซึ่งการรบที่บางระจันนั้น
เป็นการรบเพื่อป้องกันตัวเองของชาวบ้านเมืองสิงห์บุรีและเมืองต่าง ๆ
ที่พากันมาหลบภัยกองทัพพม่าสงครามบางระจันในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
สามารถต้านทานการเข้าตีของกองทัพพม่าได้หลายครั้ง จนได้ชื่อว่า
"เข้มแข็งกว่ากองทัพ ของกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น"
และมีกิตติศัพท์เลื่องลือด้านวีรกรรมความกล้าหาญในประวัติศาสตร์ไทย
วีรกรรมอันกล้าหาญของนักรบไทยค่ายบางระจัน
เป็นที่ภาคภูมิใจและอยู่ในความทรงจำของคนไทยตลอดมา
ชาวเมืองอ่างทองจึงพร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่นายดอก
และนายทองแก้วไว้ ที่บริเวณวัดวิเศษชัยชาญ
โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารเสด็จ
พระราชดำเนินมาทรงกระทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2520
ในวันนี้ของทุกปี ชาวเมืองอ่างทองจะทำพิธีวางมาลาสักการะอนุสาวรีย์นายดอก
นายทองแก้ว เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณความดี
ในวีรกรรมความกล้าหาญของท่านอย่างมิอาจลืมเลือน ตำนานแห่งวีรบุรุษ
ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2307 กองทัพพม่าภายใต้การนำของเนเมียวสีหบดี
ซึ่งแต่เดิมทีจะปราบปราม กบฏต่ออาณาจักรพม่าเท่านั้น
แต่เนื่องจากความอ่อนแอของอาณาจักรอยุธยา ทำให้เนเมียวสีหบดีตั้งเป้า
ที่จะเข้าตีกรุงศรีอยุธยา โดยรุกเข้าสู่อยุธยาทางเหนือ
และมาหยุดที่เมืองวิเศษชัยชาญ
จากนั้นสั่งให้ทหารพม่ากวาดต้อนทรัพย์สินและผู้คนทางเมืองวิเศษชัยชาญ
ราษฎรจึงพากันโกรธแค้น และวางแผนต่อสู้ร่วมกัน
โดยประกอบด้วยชาวเมืองวิเศษชัยชาญ เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรคบุรี
และชาวบ้านใกล้เคียง ในบรรดาชาวบ้านที่ร่วมกันนี้มีหัวหน้าคนสำคัญคือ
นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง
ซึ่งได้หลอกลวงทหารพม่าให้ไปหาทรัพย์ที่ต้องการ ทหารพม่าเกิดหลงเชื่อ
จึงถูกนายโชติ และพรรคพวกที่ซุ่มอยู่บุกเข้ามาฆ่าฟันพม่าตายประมาณ 20 คน
แล้วจึงพากันหนีกระเจิงไปยังบางระจัน ในขณะนั้นชาวเมืองต่าง ๆ
ที่อยู่ใกล้เคียง ต่างเข้ามาหลบอาศัยอยู่ที่บางระจันเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากมีอาหารอุดมสมบูรณ์ ข้าศึกตามเข้าไปได้ยาก
โดยชาวบ้านอพยพและไปขอพึ่งพระอาจารย์ธรรมโชติ
ซึ่งมีกิตติศัพท์ว่ามีความเชี่ยวชาญทางวิทยาคม ต่อมานายแท่นและคนอื่น ๆ
ชักชวนชาวบ้านได้อีกประมาณ 400 คนเศษพากันมาอยู่ที่บ้านบางระจัน
หลังจากนั้นก็ตั้งค่ายขึ้นล้อมรอบบ้านบางระจัน 2 ค่าย
เพื่อป้องกันทหารพม่าที่จะยกติดตามมาและเพื่อจัดหากำลังและศัตราวุธในแถบตำบลนั้น
ในขณะนั้นมีคนไทยชั้นหัวหน้าที่เข้ามาร่วมด้วย คือ ขุนสรรค์ พันเรือง
นายทองเหม็น นายจันหนวดเขี้ยว นายทองแสงใหญ่ รวมทั้งนายดอก และนายทองแก้ว
รวมทั้งหมด 11 คน โดยตั้งกองสู้กับกองทัพพม่าอย่างไม่เกรงกลัวต่อความตาย
ที่อยู่ : หมู่ 2 ถนนคลองขุน วิเศษชัยชาญ, อ่างทอง
วัดขุนอินทประมูล
วัดโบราณเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัย
สันนิษฐานได้จากซากอิฐแนวเขตเดิมจึงคะเนว่าเป็นวัดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในอดีตเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ที่มีชื่อว่า
พระศรีเมืองทอง มีความยาววัดจากปลายพระเมาลีถึงปลายพระบาทได้ 50 เมตร (25
วา) เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหาร แต่ถูกไฟไหม้ปรักหักพังไป
เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 เหลือแต่องค์พระตากแดดตากฝน
อยู่กลางแจ้งมานานนับเป็นร้อย ๆ ปี
องค์พระพุทธรูปมีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกับพระนอนจักรสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยเดียวกัน องค์พระนอนมีพุทธลักษณะที่งดงาม
พระพักตร์ยิ้มละไม สงบเยือกเย็นน่าเลื่อมใสศรัทธา
ภายในวัดมีซากโบราณสถานวิหารหลวงพ่อขาว ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงแค่ฐาน
ผนังบางส่วนและองค์พระพุทธรูป ส่วนศาลาเอนกประสงค์
มีศาลรูปปั้นขุนอินทประมูลและโครงกระดูกมนุษย์
ขุดพบในเขตวิหารพระพุทธไสยาสน์เมื่อปี พ.ศ. 2541 ลักษณะนอนคว่ำหน้า
มือและเท้ามัดไพล่อยู่ด้านหลัง
เชื่อกันว่าเป็นโครงกระดูกขุนอินทประมูลบ้างก็ว่าไม่ใช่
สันนิษฐานกันตามประวัติที่ได้เล่ากันว่า เป็นนายอากรผู้สร้างพระพุทธไสยาสน์
โดยยักยอกเอาเงินของหลวงมาสร้างเพื่อเป็นปูชนียสถาน
ครั้นพระมหากษัตริย์ทรงทราบรับสั่งถามว่าเอาเงินที่ไหนมาสร้าง
ขุนอินทประมูลไม่ยอมบอกความจริงเพราะกลัวส่วนกุศลจะตกไปถึงองค์พระมหากษัตริย์จึงถูกเฆี่ยนจนตาย
และกลายเป็นที่มาของชื่อ 'วัดขุนอินทประมูล'
ที่อยู่ : โพธิ์ทอง, อ่างทอง
วัดอ่างทองวรวิหาร
ก่อนหน้าที่จะเป็นวัดอ่างทองวรวิหารเช่นในปัจจุบัน
เดิมทีวัดแห่งนี้เป็นวัดเล็ก ๆ สองวัด คือวัดโพธิ์เงิน และวัดโพธิ์ทอง
ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดฯ
ให้รวมวัดสองแห่งเป็นวัดเดียวกัน ตรงกับปี พ.ศ. 2443
และพระราชทานนามใหม่ว่า วัดอ่างทอง ความโดดเด่นสะดุดตาที่ใครผ่านมา
ต้องมาหยุดตรงที่พระอุโบสถอันแสนงดงามมีพระเจดีย์ทรงระฆังประดับด้วยกระจกสีและหมู่กุฏิทรงไทยสร้างด้วยไม้สักและดูเป็นระบบระเบียบตามรูปแบบสถาปัตยกรรมของงานศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ภายในวัดมีการก่อสร้างและปฏิสังขรณ์นับตั้งแต่พระครูวิเศษชยสิทธิ์ได้มาปกครองที่วัดแห่งนี้
โดยการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะต่าง ๆ เช่น ทำกำแพงแก้วพระอุโบสถ
ตลอดจนปูกระเบื้องซีเมนต์ พื้นของกำแพงแก้ว และก่อสร้างพระเจดีย์
เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูปต่าง ๆ อีกด้วย
สำหรับพระประธานในพระอุโบสถสร้างด้วยก่ออิฐถือปูน เป็นพระปางมารวิชัย
และเป็นพระประธานคู่กับวัดมาแต่แรก มีลักษณะที่ไม่ถูกสัดส่วน
ซึ่งในขณะนั้นเริ่มชำรุดและเอนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจนใกล้โค่น
แต่ยังไม่มีใครคิดปฏิสังขรณ์ หรือแก้ไขให้คืนดังเดิม
ด้วยเห็นว่าเป็นพระที่ปั้นด้วยปูน
หากขยับเขยื้อนก็เกรงจะเป็นการซ้ำเติมให้พังเร็วลงอีก
ซึ่งดูจะเป็นบาปแก่ผู้กระทำ จึงปล่อยให้เอนอยู่อย่างนั้น
และพากันคาดคะเนว่า ในชั่วเวลาอีกไม่เกินหนึ่งปี ก็จะโค่นลงมาเอง
ภายหลังได้ร่วมใจกันหล่อพระประธานขึ้นใหม่ด้วยโลหะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ขนาดหน้าตักกว้าง 1.42 เมตร สูง 2.00 เมตร
โดยผู้เชี่ยวชาญคำนวณว่าพระองค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สมัยเมื่อครั้งทรงพระชนม์ชีพอยู่มีขนาดเท่านั้น
และหวังว่าถ้าพระองค์เดิมพังแล้ว
ก็จะนำองค์ที่หล่อขึ้นใหม่ประดิษฐานแทนการหล่อพระประธานองค์นี้
ครั้งแรกปรากฏว่าตอนพระเศียรไม่ติด
ต่างพากันเข้าใจว่าเป็นความบกพร่องของนายช่าง
เมื่อการหล่อครั้งแรกไม่สำเร็จ จึงได้กระทำพิธีหล่อขึ้นใหม่
ในการหล่อครั้งหลังนี้ นายช่างได้กระทำพิธีสักการบูชา
และบอกกล่าวต่อพระประธานองค์เดิม จึงปรากฏว่าการหล่อครั้งหลังนี้สำเร็จลง
แม้จะไม่เรียบร้อย ก็พอจะตบแต่งให้เข้าที่ได้
จึงส่งไปขัดที่บ้านช่างหล่อธนบุรี เมื่อขัดแล้วเสร็จ
ก็ได้นำเข้าไปไว้ในพระอุโบสถ
เพื่อรอโอกาสให้องค์เดิมพังก็จะได้นำองค์ใหม่ขึ้นประดิษฐานแทน ต่อมาไม่นาน
พระประธานองค์ที่คาดกันว่าจะโค่นพังลงมานั้นแทนที่จะโค่นลงตามความคาดหวัง
กลับตั้งตรงขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อเหตุการณ์กลับมาเป็นเช่นนี้
จึงชวนให้สงสัย คงจะมีใครไปจัดการแก้ไขให้กลับคืนมาเป็นแน่
แต่เมื่อได้ตรวจดูกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
ก็ไม่มีรอยปรากฏที่แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครเข้าไปแตะต้องเลย
ในขณะที่เอนอยู่เดิมนั้นเพราะแท่นได้ชำรุดลงไปแถบหนึ่ง
และแถบนั้นก็น่าจะต้องรับน้ำหนักมากขึ้น ส่วนอีกแถบหนึ่ง
การรับน้ำหนักก็มีแต่จะน้อยลงแต่แถบดังกล่าวนี้กลับทรุดลงไปเสมอกันอีก
จึงทำให้องค์พระประธานตั้งตรงได้ดิ่งกับฉัตรที่เหนือพระเศียรพอดี
สร้างความงุนงงแก่ผู้พบเห็นเป็นอันมากต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่า
ท่านแสดงอภินิหารให้ปรากฏ ประชาชนจึงพาเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น
จนทำการปฏิสังขรณ์ขึ้นอีก
โดยทำแท่นให้แข็งแรงและลงรักปิดทองจนเป็นที่เรียบร้อย
สำหรับองค์ที่หล่อขึ้นใหม่นั้นก็ได้นำขึ้นประดิษฐานไว้ตอนหน้าพระองค์เดิมนั่นเอง
ที่อยู่ : เมืองอ่างทอง, อ่างทอง
วัดสระแก้ว
วัดสระแก้วเดิมคือวัดสะแก
เล่าขานว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย หรือประมาณ 300
ปีเศษมาแล้ว และเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสระแก้วในปี
พ.ศ. 2495 โดยพระอธิการ ฉบับ ขันติโก (พระครูขันตยาภิวัฒน์) นอกจากนั้น
พระครูขันตยาภิวัฒน์
หรือหลวงพ่อฉบับยังเป็นผู้ริเริ่มในการให้ความอุปการะและเลี้ยงดู
เด็กกำพร้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2485
เนื่องจากหลวงพ่อฉบับเคยเล่นลิเกมาก่อนที่จะมาอุปสมบท
ท่านจึงมีดำริที่จะอบรมสั่งสอนศิลปะวิทยาด้านการแสดงลิเกให้แก่เด็กๆเพื่อรักษาและสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้ดำรงสืบไปและสิ่งนี้ก็กลายมาเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัดสระแก้วเมื่อหลายสิบปีก่อน
จนคนทั่วไปเรียกขานว่า "ลิเกเด็กกำพร้าวัดสระแก้ว" ภายหลังปี พ.ศ. 2531
เมื่อหลวงพ่อฉบับมรณภาพลง
จึงมีผู้รับหน้าที่บริหารให้ความช่วยเหลือเด็กกำพร้าและยากจนต่อคือ
พระครูพิศาลรัตนาภิวัฒน์ หรือหลวงพ่อไพฑูรย์ ซึ่งหลวงพ่อไพฑูรย์ของเด็ก ๆ
วัดสระแก้วได้ให้ความอุปถัมภ์เด็กอยู่ได้เพียง 18 ปี เท่านั้น
ท่านก็ได้มรณภาพลงไปอีกรูปหนึ่ง หลังการเสียหลวงพ่อไพฑูรย์ไป
หลวงพ่อไพเราะหรือ ดร.พระมหาไพเราะ ฐิตสีโล
เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันได้เข้ามาบริหารจัดการตลอดจนให้ความช่วยเหลือดูแลและอนุเคราะห์แก่เด็กกำพร้าที่ยากจนของวัดสระแก้วเรื่อยมา
จนกระทั่งก่อตั้งเป็นโรงเรียนวัดสระแก้ว (หรือรุ่งโรจน์ธนกุลอุปถัมภ์)
โดยหลวงพ่อไพเราะดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและบริการสังคม
เทียบเท่าคณบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
ความที่หลวงพ่อรูปนี้เป็นพระนักพัฒนา และมีเมตตาธรรมสูง
อีกทั้งยังเป็นพระนักเทศน์ชื่อดัง จึงมีลูกศิษย์มากมาย
ที่อยู่ : ป่าโมก, อ่างทอง
เครดิต :
https://1th.me/yTZzK
แสดงความคิดเห็น