ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย และ สวนป่าทุ่งเกวียน
ศูนย์ฝึกลูกช้างซึ่งเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2512 เป็นสถานที่เลี้ยงและฝึกลูกช้างเพื่อให้เชื่อฟังคำสั่งและมีความชำนาญในการทำไม้ขณะที่แม่ช้างไปทำงานในป่า และเนื่องจากมีนโยบายปิดป่าซึ่งทำให้ช้างต้องว่างงาน ศูนย์ฝึกลูกช้างจึงถูกปรับมาเป็นสถานที่ดูแลช้างแก่และเจ็บป่วย และที่นี่ยังเป็นสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลช้างด้วย ศูนย์อนุรักษ์ฯ อยู่ในความดูแลขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ใน พ.ศ. 2512 ออป.ได้จัดสถานที่เลี้ยงและฝึกลูกช้างให้เชื่อฟังคำสั่งและมีความชำนาญในการทำไม้ ที่บ้านปางหละ อำเภองาว แต่เนื่องจากมีนโยบายปิดป่าทำให้ช้างว่างงาน ศูนย์ฝึกลูกช้างจึงถูกเปลี่ยนมาเป็นสถานที่ดูแลช้างแก่และเจ็บป่วย ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2535 ออป. ได้ก่อตั้งศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยขึ้น และจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ได้แก่ การแสดงช้างซึ่งมี 3 รอบ เวลา 10.00 น. 11.00 น. และ 13.30 น. มีการอาบน้ำช้างก่อนเวลาแสดง คือ 09.45 น. สำหรับวันธรรมดา และเวลา 13.15 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 170 บาท เด็ก 110 บาท ส่วนช้างแท็กซี่ หรือขี่ช้างชมธรรมชาติ ขี่ช้างท่องไพร มีทุกวัน เวลา 08.00-15.30 น. นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการได้หลายเส้นทาง สอบถามรายละเอียด โทร. 0 5482 9329, 0 5482 9333 ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Tourism Awards) ประเภทรางวัลดีเด่นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ พ.ศ. 2541 ปัจจุบันศูนย์ฯ มีโครงการโรงเรียนฝึกควาญช้างเพื่อฝึกควาญหรือผู้ที่ประสงค์จะเป็นควาญให้สามารถดูแลช้างได้อย่างถูกต้อง มีชาวต่างชาติให้ความสนใจมาสมัครเป็นนักเรียนหลายคน และมีกิจกรรมโฮมสเตย์ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติเรียนรู้วิถีชีวิตที่ผูกพันระหว่างช้างกับคนเลี้ยงช้างอย่างใกล้ชิด มีการจัดแพ็กเกจ 3 วัน 2 คืน ราคา 8,000 บาท 2 วัน 1 คืน ราคา 5,500 บาท โดยรวมค่าอาหาร (ประกอบอาหารเองได้) บ้านพักโฮมสเตย์มีทั้งหมด 3 หลัง และ ผู้ประสงค์บริจาคเงินช่วยเหลือช้างไทยติดต่อได้ที่สถาบันคชบาลแห่งชาติ โทร. 0 5424 7876www.thailandelephant.org นอกจากเรื่องท่องเที่ยวแล้วยังมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ พลังงานที่ใช้ภายในศูนย์ฯ เป็นพลังงานทดแทนในโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ มีก๊าซชีวภาพจากมูลช้างใช้ในการหุงต้ม และกระแสไฟฟ้าผลิตจากเซลล์แสงอาทิตย์ สวนป่าทุ่งเกวียน เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวลำปาง มีป่าสนเมืองหนาวและพันธุ์ไม้นานาชนิด ทั้งไม้ดอก ไม้ใบที่มีสีสันสวยงาม อีกทั้งไม้จำพวกตะบองเพชร ปาล์ม ตลอดจนพืชสมุนไพรต่าง ๆ นักท่องเที่ยวสามารถแคมปิงที่นี่ได้ ช่วงที่สวยที่สุดเหมาะแก่การพักแรมคือเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกบัวตองกำลังบาน เนื่องจากจังหวัดลำปางมีพื้นที่เป็นแอ่งกระทะจึงมีอากาศที่ร้อนกว่าแม่ฮ่องสอน ดอกบัวตองที่ลำปางจึงบานเร็วกว่าที่ดอยแม่อูคอประมาณ 15 วัน ประมาณเดือนตุลาคมมีการจัดกิจกรรมทุ่งเกวียนเมาเท่นไบค์ สอบถามรายละเอียด โทร. 08 1885 3697 ภายในบริเวณสวนป่าทุ่งเกวียนยังมี สวนสัตว์เปิด นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับสัตว์อย่างใกล้ชิด เช่น เก้ง กวาง เนื้อทราย นกยูง เป็นต้น และทางสวนป่าทุ่งเกวียนยังมีพันธุ์ไม้ที่หายากไว้จำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวด้วย การเดินทาง ห่างจากตัวเมืองลำปาง 24 กิโลเมตร ริมทางหลวงหมายเลข 11 สายลำปาง-ลำพูน บริเวณกิโลเมตรที่ 28-29 หากโดยสารรถประจำทาง ขึ้นรถที่จะไปเชียงใหม่จากสถานีขนส่งลำปาง มาลงหน้าศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย
ที่อยู่ : 272 หมู่ 6 ถนนลำปาง-เชียงใหม่ ห้างฉัตร, ลำปาง
เครดิต : http://1ab.in/PTN
พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ
หนึ่งในจตุรพุทธปราการตามความเชื่อสมัยโบราณที่สร้างพระพุทธรูปประจำเมืองทั้งสี่ทิศ เพื่อปกปักรักษาดินแดนและคุ้มครองประชาชนให้มีความสุข และพระพุทธรูปประจำทิศเหนือคือองค์นี้นั่นเอง พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศประดิษฐานอยู่ในมณฑปทรงไทยแบบจตุมุข มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปสร้างด้วยโลหะผสมรมดำทั้งองค์ปางสมาธิและชาวบ้านยังนิยมเรียกขานกันว่า "หลวงพ่อดำ" จัดสร้างโดยกรมการรักษาดินแดนเมื่อ พ.ศ. 2511 นับเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองและเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนซึ่งในปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ปิดทองเกือบทั้งองค์โดยสาธุชนที่เดินทางเข้ามานมัสการ
ที่อยู่ : ถนนบุญวาทย์ เมืองลำปาง, ลำปาง
เครดิต : http://1ab.in/PTP
ศาลเจ้าพ่อประตูผา
อยู่ห่างจากตัวจังหวัดลำปางตามเส้นทางสายลำปาง-งาว ประมาณ 50 กิโลเมตร ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 649-650 ศาลตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ด้านขวามือ เป็นศาลเล็ก ๆ ก่ออิฐถือปูน ภายในมีรูปปั้นเจ้าพ่อประตูผาและเครื่องบูชามากมาย บริเวณใกล้เคียงมีศาลพระภูมิเล็ก ๆ มากมายเรียงรายอยู่ ศาลเจ้าพ่อประตูผานี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่สัญจรไปมาบนเส้นทางนี้มักแวะนมัสการและจุดประทัดถวาย
ที่อยู่ : ถนนลำปาง-งาว งาว, ลำปาง
เครดิต : http://1ab.in/PTQ
หล่มภูเขียว
ธรรมชาติโดยรอบหล่มภูเขียวเป็นป่าดิบแล้ง มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านได้เดินป่าเข้ามาพบแหล่งน้ำสีเขียวมรกตอยู่ภายใต้หุบเขาดังกล่าว จึงเรียกชื่อว่า "หล่มภูเขียว" ส่วนหุบเขาอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกันแต่ไม่มีน้ำ เรียกว่า "หล่มแล้ง" ชาวบ้านเชื่อว่าหล่มภูเขียวเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีพญางูใหญ่อาศัยอยู่ จึงได้ทำพิธีบูชาน้ำเป็นประจำทุกปี มีเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่า สมัยก่อนชาวบ้านจะนำขันข้าวพร้อมดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา โดยนำไปวางบนขอนไม้และลอยไปกลางลำน้ำเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบึงน้ำ และได้เกิดปรากฏการณ์ขอนไม้จมลงไปใต้น้ำแล้วลอยขึ้นมา โดยที่เทียนยังไม่ดับ จึงเกิดความเชื่อว่าแหล่งน้ำนี้เป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น ชาวบ้านจึงนำน้ำจากหล่มภูเขียวมาใช้ดื่มกินและอธิษฐานขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และนำไปใช้ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านตามความเชื่อสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน บริเวณโดยรอบหล่มภูเขียวล้อมรอบไปด้วยผาหินปูนสูงชัน มีความร่มรื่นจากต้นไม้ใหญ่โดยรอบ บรรยากาศของป่าเขาอันเงียบสงบผสมกับความเรียบนิ่งของผิวน้ำสีเขียวมรกตที่ลึกจนไม่สามารถหยั่งถึงนี้ ทำให้เกิดความงดงามอันลึกลับ สะกดสายตาของผู้ที่ได้มาเยือน"หล่มภูเขียว" เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท ในพื้นที่หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านอ้อน อำเภองาว จังหวัดลำปาง มีลักษณะเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เนื้อที่ราว 1-2 ไร่ มีความลึกมากจนมองเห็นเป็นสีเขียวมรกตสวยงาม ความลึกนั้นไม่สามารถระบุได้ สันนิษฐานว่าแอ่งแห่งนี้เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกในสมัยดึกดำบรรพ์ หรืออาจเกิดจากการยุบตัวของหินปูนซึ่งเคยเป็นเพดานถ้ำมาก่อน แล้วจมลงใต้น้ำ เรียกว่าหลุมยุบ (Sink Hole) ต่อมาจึงกลายเป็นแหล่งรับน้ำ และมีปลาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ที่อยู่ : งาว, ลำปาง
เครดิต : http://1ab.in/PTU
อ่างเก็บน้ำวังเฮือ
ที่อยู่ : เมืองลำปาง, ลำปาง
เครดิต : http://1ab.in/PTV
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
ความพิเศษของอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ไม่เพียงอยู่ที่ธรรมชาติบริสุทธิ์แล้ว ที่นี่ยังได้รับยกย่องให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังเป็นสถานที่ดำเนินงานตามแนวพระราชดำรัสในการใช้พลังงานน้ำธรรมชาติมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนสามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่จะได้รับความนิยมมากในช่วงฤดูหนาวที่มีบรรยากาศสวยที่สุด นักท่องเที่ยวจึงมักจับจองบ้านพักกันจนเต็ม สภาพทั่วไป อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนมีพื้นที่ครอบคลุมอำเภอเมืองปาน อำเภอแจ้ห่ม และอำเภอเมืองลำปาง มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร และมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 592 ตารางกิโลเมตร โดยได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2531 เป็นแนวแบ่งเขตระหว่างลำปางและเชียงใหม่
นับเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามโดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีน้ำตกและบ่อน้ำร้อนอยู่ในบริเวณเดียวกันซึ่งถือเป็นความมหัศจรรย์ยากจะหาที่ใดเทียบ
ฤดูที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวและมีอากาศเย็นสบายคือเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
สถานที่สำคัญของอุทยานฯ บ่อน้ำร้อนแจ้ซ้อน เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่มีสภาพการเกิดทางธรณีวิทยามีกลิ่นกำมะถันอ่อน ๆ จำนวน 9 บ่อ ตั้งอยู่รวมกันในบริเวณพื้นที่ที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 3 ไร่ ภายในพื้นที่มีโขดหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ยามเช้าจะมองเห็นภาพไอน้ำลอยกรุ่นขึ้นมาจากบ่อปกคลุมโดยรอบดูสวยงามราวภาพวาด โดยน้ำพุร้อนนั้นมีอุณหภูมิเฉลี่ย 73 องศาเซลเซียสนักท่องเที่ยวนิยมนำไข่ไก่และไข่นกกระทามาแช่ ซึ่งหากแช่ไข่ไก่นานประมาณ 17 นาที ไข่แดงจะแข็งมีรสชาติมันอร่อย ส่วนไข่ขาวจะเหลวคล้ายไข่เต่า น้ำตกแจ้ซ้อน เป็นน้ำตกที่กำเนิดจากลำน้ำแม่มอญมีน้ำไหลตลอดทั้งปีและมีแอ่งน้ำรองรับอยู่ตลอดสายไหลตกลงมาเป็นชั้น ๆ มี 6 ชั้น อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 3 กิโลเมตร มีทางเดินไปสะดวกและสามารถเดินทางจากบ่อน้ำพุร้อนไปถึงน้ำตกได้ น้ำตกแม่มอญ เป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลแรงจากชะง่อนผาสูงลงสู่หุบเหวเบื้องล่าง น้ำจะตกลงมาเป็นชั้น ๆ สวยงาม แต่ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับเล่นน้ำ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 5 กิโลเมตร น้ำตกแม่ขุน อยู่ใกล้กับน้ำตกแม่มอญมีลักษณะเป็นน้ำตกสายยาวสูงประมาณ 100 เมตรไหลลงมาบรรจบกับน้ำตกแม่มอญ โดยอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 5 กิโลเมตรนักท่องเที่ยวควรติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานฯ นำทาง ถ้ำผางาม ห่างจากที่ว่าการอำเภอวังเหนือ 8 กิโลเมตร อยู่บริเวณหน่วยพิทักษ์ฯ ที่แจ้ซ้อน 3 (ผางาม) หน่วยนี้อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 60 กิโลเมตร มีถ้ำที่สามารถเข้าไปศึกษาและท่องเที่ยวได้ เช่น ถ้ำฟ้างาม ถ้ำน้ำ ถ้ำหม้อ เป็นต้น ชมดอกเสี้ยวบาน ดอกไม้สีขาวที่แรระบายผืนป่าให้ดูสวยงามในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี นักท่องเที่ยวสามารถขับรถชมดอกเสี้ยวบานได้ตามเส้นทางแจ้ซ้อน-บ้านป่าเหมี้ยงเป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร แอ่งน้ำอุ่น อยู่ติดกับบ่อน้ำพุร้อนเป็นแอ่งน้ำที่เกิดจากการไหลมาบรรจบกันของน้ำพุร้อนและน้ำเย็นที่มาจากน้ำตกแจ้ซ้อน ทำให้เกิดเป็นน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิเหมาะแก่การแช่อาบ เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกแจ้ซ้อน มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1.30 ชั่วโมง ผ่านจุดสื่อความหมาย 24 จุด ผ่านสภาพป่าและพรรณไม้ที่น่าสนใจหลายชนิด รวมถึงอาจพบสัตว์หายาก เช่น นกเขนเทาหางแดง และปลาปุงแห่งลำห้วยแม่มอญ เส้นทางนี้เหมาะสำหรับเยาวชนผู้สนใจศึกษาพรรณไม้ต่าง ๆ เช่น ต้นก๋งกวาวเครือ หรือยางปาย ศึกษาระบบนิเวศน์ เช่น วงจรชีวิตหนอนรถด่วน และสภาพภูมิศาสตร์โดยรอบลานน้ำพุร้อน เช่น อะไรทำให้เกิดบ่อน้ำพุร้อน ทำไมน้ำพุร้อนทำให้ไข่แดงสุกแต่ไข่ขาวเหลว หรือจักจั่นน้ำแร่เป็นอย่างไร (จั๊กจั่นน้ำแร่มีชุกในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม) รวมถึงแอ่งอาบน้ำอุ่นที่เกิดจากน้ำร้อนในบ่อน้ำพุร้อนมาบรรจบกับน้ำเย็นที่มาจากน้ำตกแจ้ซ้อน ซึ่งอุทยานฯ ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตเองจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำก็อยู่ในเส้นทางนี้ด้วย ที่นี่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 60 กิโลวัตต์ ผู้สนใจสามารถขับรถขึ้นไปดูได้ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร แต่ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อเพราะสภาพทางค่อนข้างชัน เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกแม่เปียก ระยะทางประมาณ 3.7 กิโลเมตร เป็นเส้นทางวงรอบเลียบริมห้วยแม่เปียกผ่านจุดสื่อความหมาย 19 จุด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมง ตลอดเส้นทางให้ความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศการนำทรัพยากรป่าไม้มาใช้ประโยชน์ เช่น น้ำมันยางสารพัดประโยชน์ที่นำมาใช้กับเครื่องยนต์จนถึงทำน้ำมันใส่แผล ไผ่ข้าวหลามที่มีเปลือกบางเผาง่าย เมี่ยง(ชา) ที่นำใบอ่อนมานึ่งแล้วหมักทำเป็นเมี่ยงนิยมรับประทานเป็นของว่างใช้ต้อนรับแขกทางภาคเหนือของไทย สำหรับยอดอ่อนก็นำมาอบแห้งแล้วชงกับน้ำร้อนดื่มเป็นชา ซึ่งเมี่ยง(ชา) มีสารคาเฟอีนออกฤทธิ์เช่นเดียวกับกาแฟ แหย่งใบใช้ห่ออาหารแทนใบตอง หรือนำลำต้นไปตากให้แห้งแล้วสานเป็นเสื่อ หรือแม้แต่การสร้างฝายน้ำล้นที่นำไปผลิตไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อใช้ภายในอุทยานฯ ระหว่างเส้นทางถ้าโชคดีอาจพบหมูป่าและเต่าปูลูที่มีลักษณะไม่เหมือนเต่าทั่วไปและกำลังจะสูญพันธุ์ โดยเต่าปูลูมีหางยาวหัวและขาไม่สามารถหดเข้าไปในกระดองเหมือนเต่าทั่วไปได้ มีความสามารถในการปีนป่ายและกินสัตว์จำพวกปูหรือปลาเป็นอาหาร
นอกจากนี้ในเส้นทางยังมีน้ำตกวังไฮและน้ำตกแม่เปียกซึ่งน้ำตกแม่เปียกนั้นมี 3 ชั้น และชั้นที่ 3 มีความสวยงามที่สุด โดยมีความสูงประมาณ 100 เมตร ด้านล่างบริเวณแอ่งรองรับน้ำจากน้ำตกมีกล้วยป่าขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไปทำให้มีความสวยงาม สิ่งอำนวยความสะดวก ในอุทยานฯ บริการห้องอาบน้ำแร่ ซึ่งมีทั้งห้องอาบแร่สำหรับ 3-4 คน ห้องรวมแบบตักอาบและบ่อสำหรับแช่อาบกลางแจ้ง โดยน้ำแร่ที่นำมาใช้นั้นต่อท่อโดยตรงมาจากบ่อน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิน้ำแร่ประมาณ 39-42 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถใช้แช่อาบได้ ทั้งนี้ประโยชน์ของการอาบน้ำแร่คือช่วยบำบัดความเมื่อยล้าของร่างกาย ช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ช่วยรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ เช่น กลากเกลื้อน ผื่นคัน และยังช่วยบรรเทาอาการของโรคกระดูก แต่น้ำแร่จากที่นี่ไม่สามารถใช้ดื่มได้เพราะมีแร่ธาตุบางชนิดสูงกว่ามาตรฐาน
การใช้บริการห้องอาบน้ำแร่ที่นี่ ต้องเสียค่าบริการดังนี้ ห้องส่วนตัว 50 บาท/คน สระน้ำรวม 20 บาท/คน บ่อกลางแจ้ง 10 บาท/คน ที่พัก บ้านพักในอุทยานฯ มี 11 หลัง พักได้หลังละ 6-20 คน ห้องน้ำสะอาดและมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม มีสถานที่กางเต็นท์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ บริการ ราคา 500-4,000 บาท เช่น ไฟฟ้า เตาประกอบอาหาร ค่ากางเต็นท์คนละ 30 บาท และอุทยานฯ ยังมีร้านอาหารสวัสดิการบริการด้วย
สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 5438 0000, 08 9851 3355 หรือกรมอุทยานแห่งชาติฯ โทร. 0 2562 0760-2 www.dnp.go.th อัตราค่าเข้า คนไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท
ที่อยู่ : เมืองปาน, ลำปาง
เครดิต : http://1ab.in/PTX
บ่อน้ำแร่บ่อน้ำร้อน
เครดิต : http://1ab.in/PT0
แสดงความคิดเห็น