หอเกียรติยศ ฯพณฯ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21
จากความสามัคคีและร่วมแรงร่วมใจกันของพี่น้องชาวสุพรรณบุรี
ที่ได้ร่วมบริจาคเงินส่วนตัว ก่อสร้างหอเกียรติยศ ฯ พณฯ บรรหาร ศิลปอาชา
นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศไทย
เพื่อใช้เป็นสถานที่ศึกษาด้านประวัติศาสตร์การเมืองไทย
และเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตแก่เยาวชน
ปัจจุบันถือเป็นหน่วยงานหนึ่งของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร
โดยหอเกียรติยศฯ แห่งนี้ ออกแบบโดยกรมศิลปากร มีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น
ภายในจัดแสดงประวัติและผลงานของ ฯ พณฯ บรรหาร ศิลปอาชา ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงช่วงที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่
21 ของประเทศไทยโดยชั้น 1 จำลองบรรยากาศร้าน "ย่ง หยู ฮง"
ในตลาดสุพรรณบุรี ประมาณ พ.ศ. 2487
แสดงภาพชีวิตวัยเด็กและหน้าที่รับผิดชอบที่เด็กชายบรรหารในวัย 12 ปี
มีต่อครอบครัว
เรื่องราวของนักสู้ชีวิตจากสุพรรณบุรีที่ช่วยพี่ชายทำงานจนกระทั่งภายหลังประกอบธุรกิจเป็นของตนเอง
จนมีฐานะมั่นคง การจัดแสดงช่วงเวลาสำคัญต่าง ๆ
ในชีวิตของนายบรรหารก่อนเข้าสู่การเมือง เช่น อุปสมบท สมรส
และจัดแสดงผลงานด้านต่าง ๆ
ที่นายบรรหารให้ความช่วยเหลือและพัฒนาจังหวัดสุพรรณบุรี ชีวิตทางการเมือง
รวมทั้งบทบาททางการเมือง ชั้น 2 จัดแสดงผลงานและนโยบายสำคัญของรัฐบาล ขณะ ฯ
พณฯ บรรหาร ศิลปอาชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตลอดจนเกียรติคุณต่าง ๆ
ที่เคยได้รับ
จนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยพัฒนาและสร้างความรุ่งเรืองต่าง ๆ
ให้แก่จังหวัดสุพรรณบุรี แม้ปัจจุบันท่านจะล่วงลับไปแล้ว
แต่ชื่อของนายบรรหาร ศิลปอาชา
จะยังคงตราตรึงในหัวใจของประชาชนชาวสุพรรณอย่างไม่มีวันลบเลือน
เปิดให้เข้าชมทุกวันพุธ-อาทิตย์ตั้งแต่ 09.00-16.00 น.
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ +66 3553 5119-21 โทรสาร +66 3553 5120
ที่อยู่ : เมืองสุพรรณบุรี, สุพรรณบุรี
เครดิต : https://1th.me/zBzY8วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร
ถือเป็นวัดที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เนื่องจากคาดว่ามีอายุราว 1200 ปี โดยคาดว่าน่าจะสร้างขึ้นสมัยที่เมืองสุพรรณบุรีรุ่งเรือง
โดยตามพงศาวการเหนือกล่าวว่า
พระเจ้ากาแตทรงให้มอญน้อยมาบูรณะวัดป่าเลไลยก์ในปี พ.ศ. 1724
ปัจจุบันวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี
ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี
ชนิดวรวิหาร ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย เช่น "หน้าบัน"
ของวิหารมีเครื่องหมายพระมหามกุฎอยู่ระหว่างฉัตรคู่
บ่งบอกให้ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จธุดงค์มาพบสมัยยังทรงผนวชอยู่
เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วจึงทรงมาปฏิสังขรณ์ เมื่อเข้ามาในวิหาร จะพบ
"หลวงพ่อโต" ตัวพระเป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ซึ่งมีขนาดใหญ่
และนิยมสร้างเป็นพระบูชาสำหรับคนเกิดวันพุธกลางคืน
นักปราชญ์หลายท่านเคยกล่าวว่า หลวงพ่อโตเดิมน่าจะเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา
สร้างไว้กลางแจ้งเหมือนพระพนัญเชิงในสมัยแรก ๆ เพราะมักพบว่า
พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สร้างในสมัยก่อนอยุธยาและอยุธยาตอนต้น
ส่วนมากชอบสร้างไว้กลางแจ้งเพื่อให้สามารถมองเห็นได้แต่ไกล
ภายในองค์พระพุทธรูปนี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากพระมหาเถรไลยลายจำนวน
36 องค์ ต่อมา เมื่อนมัสการหลวงพ่อโตเสร็จแล้ว ด้านหลังวัดจึงได้จัดสร้าง
"คุ้มขุนช้าง" เป็นเรือนไทยไม้สักแบบโบราณหลังใหญ่
กว้างขวางตามบทพรรณนาเรือนของขุนช้างในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน
เมื่อขึ้นไปบนเรือนจะเห็นฉากภาพวาดตัวละครขุนช้างสำหรับให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
บนเรือนแต่ละห้องมีภาพบรรยายเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน
มีตู้จัดแสดงภาชนะเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นฉากกั้นหรือถ้วยโถโอชามเก่าแก่แบบต่าง ๆ นับว่า
คนที่ชื่นชอบวรรณคดีไทยเรื่องนี้ควรมาเยี่ยมชมเป็นอย่างยิ่ง
นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเดินทางมาสักการบูชาหลวงพ่อโตและชมสิ่งที่น่าสนใจต่าง
ๆ ได้โดยในแต่ละปี จะมีงานเทศกาลสมโภชและนมัสการหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ 2
ครั้ง คือ ในวันขึ้น 7-9 ค่ำ เดือน 5 และเดือน 12 หากมาในเวลาดังกล่าว
ก็จะได้ชื่นชมบรรยากาศที่คึกคักไปอีกแบบ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่
08.00-17.00 น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0 3552 5867, 0 3552 5880
ที่อยู่ : ถนนมาลัยแมน เมืองสุพรรณบุรี, สุพรรณบุรี
เครดิต : https://1th.me/XlnUj
วัดหน่อพุทธางกูร (วัดมะขามหน่อ)
หนึ่งในวัดที่เงียบสงบและเป็น
1 ใน 9 วัดที่มีความสำคัญมากของจังหวัดสุพรรณบุรี
จากคำบอกเล่าของชาวบ้านถึงการก่อตั้งวัดหน่อพุทธางกูรนั้น
ว่ากันว่าเมื่อคราวกบฏเจ้าอนุวงศ์ ปี พ.ศ. 2369
มีชาวลาวถูกกวาดต้อนมาจากเวียงจันทน์ แล้วได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้
จากนั้นได้สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นในบริเวณที่มีฐานอุโบสถเก่าอยู่ก่อน
ต่อมาขุนพระพิมุขข้าหลวงในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงได้สร้างวัดขึ้นมาโดยให้ชื่อว่า " วัดมะขามหน่อ "
กระทั่งในสมัยพระครูสุวรรณวรคุณ (คำ จนทโชโต) เป็นเจ้าอาวาส
จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น " วัดหน่อพุทธางกูร " สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดคือ "
พระอุโบสถเก่า " เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่ออิฐถือปูนขนาด 3 ห้อง
ด้านหน้าโบสถ์มีมุขยื่นออกมามีเสารองรับอยู่ 4 ต้น
หน้าบันและส่วนประดับต่าง ๆ เป็นไม้จำหลักงดงาม
หลังคามุงกระเบื้องดินเผาปลายมน ฐานอาคารแอ่นโค้งเป็นรูปท้องเรือสำเภา
ซึ่งเป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนปลาย ดังนั้น
จึงสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย
ภายในและภายนอกตัวอุโบสถนี้ มีจิตรกรรมที่มีความงดงามและวาดขึ้นโดยนายคำ
ช่างหลวงชาวเวียงจันทน์ที่ถูกกวาดต้อนเมื่อคราวกบฏเจ้าอนุวงศ์
โดยภาพจิตรกรรมที่วาดนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธประวัติ ทศชาติชาดก
พระเจดีย์จุฬามณี และเทพชุมนุม ภาพเขียนแสนสวยเหล่านี้
เป็นที่ต้องตาต้องใจและชวนหลงใหล สำหรับใครต่อใครที่ได้มาเยือน
เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 8.00-17.00 น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่+663554
3589, +668 1423 3145, +668 9836 2796
ที่อยู่ : เมืองสุพรรณบุรี, สุพรรณบุรี
เครดิต : https://1th.me/g4FIi
วัดไผ่โรงวัว
วัดไผ่โรงวัวหรือวัดโพธาราม เป็นวัดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสุพรรณบุรี
สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2469 เป็นวัดที่มีพุทธศาสนิกชน
และบุคคลทั่วไปนิยมไปเที่ยวชมกันอย่างไม่ขาดสาย
ด้วยมีพุทธวัตถุและโบราณสถานสำคัญให้เยี่ยมชมได้มากมายหลายจุด เช่น
"พระพุทธโคดม" พระพุทธรูปโลหะสำริดองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
สร้างโดยท่านพระครูอุทัยภาคาธร (หลวงพ่อขอม) นอกจากนี้ยังมี "สังเวชนียสถาน
4 ตำบล" คือ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนาและปรินิพพาน
มีส่วนที่แสดงงานประติมากรรม เกี่ยวกับพุทธประวัตินรกภูมิ สวรรค์ภูมิ ส่วน
"พระกะกุสันโธ" เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ด้านหน้าพระพุทธรูปมี "ฆ้อง และบาตร" ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน รวมทั้ง
"พระวิหารร้อยยอด" และ "พระธรรมจักร" ซึ่งหล่อด้วยทองสำริดใหญ่ที่สุดในโลก
รวมทั้งสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ อีกมากมาย
จนขึ้นชื่อเป็นวัดที่ใครมาเยือนสุพรรณบุรีแล้วต้องไม่พลาด
เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่+66
3552 5867, +66 3552 5880
ที่อยู่ : 11 ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3422 สองพี่น้อง, สุพรรณบุรี
เครดิต : https://1th.me/0Pq7n
โบราณสถานบึงหนองสาหร่าย
ย้อนรอยบรรยากาศและกลิ่นอายของสถานที่ที่เคยใช้ตั้งทัพในสงครามยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่า
หรือโบราณสถานบึงหนองสาหร่าย หนองน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่
ที่ในอดีตสมเด็จพระนเรศวรทรงเลือกบริเวณนี้เป็นที่ตั้งทัพเพราะมีปริมาณน้ำมากพอ
ที่ช่วยในการดำรงชีพของทหารจำนวนแสนคน พร้อมช้าง
ม้าได้พักอาศัยเป็นเวลาแรมเดือน ประกอบกับเป็นชัยภูมิที่ตั้งสูงห่างข้าศึก
หากแต่ปัจจุบันสภาพหนองน้ำตื้นเขินและมีเนื้อที่เหลือเป็นหนองน้ำเพียง 29
ไร่ แต่บริเวณโดยรอบยังคงมีต้นไม้เรียงรายร่มรื่น
เหมาะแก่การมาเยี่ยมชมและทัศนศึกษาสำหรับกลุ่มนักเรียน นักศึกษา
ตลอดจนผู้ที่สนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 09.00-17.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่กรมศิลปากร โทร. +66 3554 5466-7 (ในเวลาทำการ 8.30-16.30น.)
ที่อยู่ : ดอนเจดีย์, สุพรรณบุรี
เครดิต : https://1th.me/TSb8V
แสดงความคิดเห็น