พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร (อุทยานมังกรสวรรค์)
พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร (อุทยานมังกรสวรรค์)
ก่อตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนมีความสัมพันธ์ทางการทูตครบ
20 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของอารยธรรมจีนที่มีมายาวนานถึง
5,000 ปี
จนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ภายใต้รูปแบบของมังกร สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่รู้จักกันดี
ภายในจัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์จีน โดยจะแบ่งออกเป็น
18 ห้อง ตั้งแต่สมัยตำนานการสร้างโลกยุคแรกเริ่มทางประวัติศาสตร์
ลำดับราชวงศ์ตั้งแต่ยุคหวงตี้ถึงราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้าย
สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ ดร. ซุนยัดเซ็น
ยึดอำนาจจากจักรพรรดิและสถาปนาระบอบประชาธิปไตยและช่วงเวลาชิงอำนาจระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย
คือ เจียงไคเช็คกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่นำโดยเหมาเจ๋อตุง
จนมาถึงการสถาปนาสาธารณรัฐจีน
ตลอดจนประวัติความเป็นมาของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน
โดยเรื่องราวที่นำเสนอประกอบด้วย เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์
ประวัติบุคคลสำคัญ ปรัชญา ภูมิปัญญา
และการค้นพบประดิษฐกรรมสำคัญของบรรพบุรุษชาวจีน ผ่านสื่อจัดแสดงที่น่าสนใจ
การจัดแสดงนิทรรศการภายในตัวมังกรใช้สื่อจัดแสดงทันสมัย เช่น ภาพยนตร์
ระบบโสตทัศนูปกรณ์ที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ แสง เสียง หุ่นจำลอง
พรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องฉายภาพยนตร์ ห้องรับฝากของ
จำหน่ายหนังสือ และห้องจำหน่ายของที่ระลึก
มุ่งเน้นให้ผู้เข้าชมได้รับความรู้และความเพลิดเพลิน
โดยสอดแทรกคุณธรรมสำคัญในการดำเนินชีวิตที่บรรพบุรุษชาวจีนยึดถือ
เปิดให้เข้าชมวันจันทร์-ศุกร์ตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 น.
วันเสาร์-อาทิตย์ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์และอังคาร)
โดยจะเปิดให้เข้าชมเป็นรอบ ๆ
มีชุดหูฟังเสียงบรรยายภาษาอังกฤษและจีนให้บริการ ค่าเข้าชมชาวไทย ผู้ใหญ่
299 บาท เด็ก 149 บาท/ ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 499 บาท เด็ก 299 บาท
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. +66 3552 6211-2
ที่อยู่ : ถนนมาลัยแมน เมืองสุพรรณบุรี, สุพรรณบุรี
เครดิต : https://1th.me/rRPwD
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
หากคุณเป็นคนชอบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ อย่าพลาดที่จะแวะเวียนมาเยี่ยมชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อู่ทอง สถานที่รวบรวมศิลปะโบราณวัตถุในสมัยต่าง ๆ
ที่ขุดค้นพบและแสดงวิวัฒนาการของมนุษย์ยุคต่าง ๆ
ที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนแถบสุพรรณบุรี ภายในแบ่งออกเป็น 2 อาคาร คือ
อาคารที่ 1
จัดแสดงการค้นพบเมืองอู่ทองสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยวัฒนธรรมทวารวดี
พระพุทธรูปสมัยทวารวดี อาคารที่ 2
จัดแสดงห้องชาติพันธุ์วิทยาและลูกปัดที่ค้นพบในเมืองอู่ทองตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงสมัยทวารวดี
ส่วนลานกลางแจ้งสร้างเป็นเรือนแบบลาวโซ่ง จัดแสดงวัฒนธรรมประเพณี
การแต่งกาย เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวลาวโซ่ง ทั้งนี้
เมืองอู่ทอง เป็นเมืองเก่า ที่มีชื่อปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า
พระเจ้าอู่ทองทรงอพยพผู้คนหนีโรคห่าจากเมืองอู่ทองเมื่อปี พ.ศ. 1890
ไปสร้างเมืองหลวงใหม่คือ กรุงศรีอยุธยา
ต่อมาได้มีการขุดค้นหาหลักฐานที่เมืองอู่ทอง แล้วลงความเห็นว่า
เมืองนี้เป็นเมืองเก่าก่อนกรุงศรีอยุธยาและร้างไปนานนับร้อยปี
ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสร้างกรุงศรีอยุธยา
จึงเชื่อกันว่าพระเจ้าอู่ทองน่าจะไม่ได้หนีจากโรคห่าดังที่กล่าวไว้แต่แรก
ย้อนรอยพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอู่ทอง ในปี พ.ศ. 2446
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงมหาดไทยได้ตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรี
และเสด็จสำรวจเมืองโบราณอู่ทอง
ทรงนิพนธ์เล่าเรื่องเมืองอู่ทองในรายงานเสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรีและทรงนิพนธ์หนังสือเรื่องนิทานโบราณคดี
ต่อมา พ.ศ. 2476 ราชบัณฑิตยสภาทำการสำรวจและทำแผนผังเมืองโบราณอู่ทอง
พบว่าเป็นเมืองโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
จึงได้จัดสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ขึ้นเป็นอาคารชั่วคราวในปี
พ.ศ. 2502
เพื่อเก็บรักษาโบราณวัตถุที่ได้จากการสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองโบราณอู่ทอง
ก่อนจะทำการสำรวจขุดแต่งโบราณสถานที่มีกระจายอยู่ทั่วไปในเมืองอู่ทองเพิ่มเติม
โดยศาตราจารย์ช็อง บวสเซลีเย่ร์ (M.JeanBoisselier)
ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ชาวฝรั่งเศส
เป็นหัวหน้าหน่วยศิลปากรในขณะนั้น
โดยได้พบโบราณวัตถุสมัยทวารดีอีกจำนวนมาก ในปี พ.ศ. 2508-2509
กรมศิลปากรจึงได้จัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทองขึ้นเป็นการถาวร
เพื่อเก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุที่ได้จากขุดค้นทางโบราณคดี
เปิดให้เข้าชมวันพุธ-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.
อัตราค่าเข้าชม
: ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. +66 3555
1021, +66 3555 1040
สุ่มปลายักษ์ วัดทองประดิษฐ์
สุ่มปลายักษ์ วัดทองประดิษฐ์
ตั้งอยู่บริเวณบ้านต้นตาล
ตรงข้ามกับวัดทองประดิษฐ์โดยมีสะพานไม้ที่ชาวบ้านใช้สัญจรเชื่อมกับตัวตลาดในนาบัว
ที่สร้างด้วยไม้ไผ่หลังคามุงจาก มีสุ่มยักษ์เป็นแลนด์มาร์ก
ในตลาดจำหน่ายอาหาร ก๋วยเตี๋ยว ขนมไทย ผัก ผลไม้ต่าง ๆ
ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกชิม
ที่อยู่ : สองพี่น้อง, สุพรรณบุรี
เครดิต : https://1th.me/yWkfF
ตลาดท่าช้าง
ตลาดเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีนแห่งนี้
อดีตเคยเป็นแหล่งศูนย์รวมการค้าขนาดใหญ่ของจังหวัดสุพรรณบุรี
และเนื่องจากสมัยก่อนการเดินทางไปยังตัวจังหวัดสุพรรณบุรี
ต้องเดินทางโดยทางเรือ
ผู้เดินทางเข้าจังหวัดจะต้องมาขึ้นเรือที่ท่าเรือหน้าตลาดแห่งนี้
ทำให้ตลาดท่าช้างคึกคักไปด้วยผู้คนและพ่อค้าแม่ค้าชาวจีนมากมาย จนกระทั่งปี
พ.ศ. 2501 เกิดไฟไหม้ตลาด
ทำให้บ้านเรือนโบราณที่สร้างด้วยไม้ถูกเผาทำลายวอดวายไปกว่า 600 หลัง
แต่ยังคงหลงเหลือเพียงบ้านที่อยู่ห่างออกมาเพียงไม่กี่หลัง
(อย่างเช่นร้านอาหารเล็กเสี่ยวหงส์) ตลาดท่าช้างในปัจจุบัน
จึงเป็นตลาดที่สร้างขึ้นมาใหม่ แต่ก็มีอายุกว่า 50 ปีมาแล้ว
เมื่อรวมกับบ้านเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่ ทั้งวิถีชีวิตและอาหารการกิน
จึงทำให้เป็นตลาดที่มีเสน่ห์ และมีร้านอาหารให้เลือกทั้งเก่าและใหม่
ร้านค้าต่าง ๆ อีกมากมายให้เลือกสรร โดยเฉพาะร้านโชห่วยตลาดท่าช้าง
สถานที่รวบรวมของเก่าที่หาดูได้ยาก
และน่าจะถูกใจสำหรับผู้ที่รักการสะสมของเก่า ปัจจุบัน ที่นี่ยังมี
ตลาดยามเย็น "ท่าช้างเดินเพลิน"
ถนนคนเดินสไตล์ย้อนยุคที่กำลังได้รับความนิยมของชาวสุพรรณบุรีและนักท่องเที่ยว
เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น.
ที่อยู่ : บ้านท่าช้าง เดิมบางนางบวช, สุพรรณบุรี
เครดิต : https://1th.me/hL0yC
ตลาดเก้าห้อง
ตลาดเก้าห้องเป็นตลาดห้องแถวเก่าแก่ ย่านการค้าของชุมชนไทย-จีน ที่รุ่งเรืองริมแม่น้ำสุพรรณบุรีหรือแม่น้ำท่าจีน
จากวันวานจนถึงวันนี้เป็นเวลานานกว่า 100 ปีแล้ว
ซึ่งตลาดยังคงสภาพบ้านเรือนไม้ที่ปลูกเรียงกันเป็นแถวยาว
สำหรับที่มาของชื่อตลาดเก้าห้องนั้น
สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากชื่อบ้านเก้าห้อง บ้านโบราณที่สร้างขึ้นโดย 'นายฮง'
ชาวจีนที่อพยพมาจากกรุงเทพฯ และทำมาค้าขายอยู่บริเวณละแวกบ้านเก้าห้อง
กิจการค้ารุ่งเรืองดี โดยค้าขายบนแพที่จอดอยู่ริมน้ำหน้าบ้านเก้าห้อง
เนื่องจากในสมัยก่อนเป็นย่านค้าขายที่มีเรือนแพขายของเต็มสองฝั่งแม่น้ำ
ต่อมานายฮงเริ่มวางแผนผังและสร้างตลาดบริเวณฝั่งตรงข้ามกับบ้านเก้าห้อง
มีการโยกย้ายแพขึ้นไปค้าขายบนบกหรือในตลาด
เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการค้าขายทางน้ำในบริเวณนั้น
และเปิดการค้าทางบกมากขึ้น รวมทั้งนำชื่อบ้านเก้าห้องมาเป็นชื่อตลาด และ 1
ปีถัดมา นายฮงได้สร้างป้อมขนาด 5 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้า
บริเวณฝาผนังทุกด้านของแต่ละชั้นจะมีรูกลมโต เหตุที่สร้างป้อมขึ้นมา
เพราะในระยะนั้นมีพวกโจรหรือที่เรียกว่า "เสือ"ชุกชุมเป็นอย่างมาก
จึงสร้างป้อมไว้คอยสังเกตการณ์และเตรียมป้องกันการปล้นสะดมของเสือทั้งหลาย
จากคำบอกเล่าของคนเก่าแก่ เล่าว่าในสมัยสงครามโลก
เวลากลางคืนจะมียามคอยสังเกตการณ์อยู่บนป้อม
หากมีเครื่องบินบินมาก็จะส่งสัญญาณให้คนในตลาดดับตะเกียงเพื่อไม่ให้เครื่องบินมองเห็น
จะได้ไม่ทิ้งระเบิดลงมา และ "หอดูโจร"
นี้เองที่กลายมาเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของตลาดแห่งนี้นอกจากจะเป็นแหล่งขายสินค้านานาชนิด
มีอาหารและขนมโบราณอร่อยหายากแห่งหนึ่งของจังหวัดสุพรรณบุรีแล้ว
ยังมีของฝากประจำตลาดเก้าห้องด้วย นั่นคือ ขนมเปี๊ยะ
เพราะที่นี่เป็นแหล่งผลิตขนมเปี๊ยะที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสุพรรณบุรีเลยก็ว่าได้
และสำหรับผู้มาเยือนเป็นหมู่คณะ อย่าพลาดไปแวะชม "พิพิธภัณฑ์ตลาดเก้าห้อง"
แหล่งเรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เดิมทีเป็นร้านขายยาแบบห้องแถว
ภายหลังพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วยรูปแบบของงานสถาปัตยกรรมสไตล์จีน
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2477
เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 07.00-16.00 น.
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ +66 3552 5867, +66 3552 5880
แสดงความคิดเห็น